ศิลปินและนักวาดภาพประกอบผู้ไม่บังคับตัวเองให้มีเอกลักษณ์ “โอเล่ – อนุสรณ์ ผสมกิจ”
สไตล์ และแนวงานที่ทำ
งานผมไม่ใช่งานที่มีสไตล์ชัดเจน ที่อาจมองแล้วเห็นเลยว่าเป็นโอเล่ งานส่วนใหญ่จะเป็นงานที่เปลี่ยนรูปแบบไปเรื่อยๆ มีการพัฒนา มีการทดลอง แล้วรู้สึกว่ามันสนุกกว่าการทำอะไรซ้ำๆ โดยใช้หลักการการเล่าเรื่อง ทั้งความรู้สึก ความคิด หรืออารมณ์ของตัวเอง ณ ขณะนั้น ปีนั้น ช่วงนั้น
เทคนิคที่มักใช้ในงาน
ผมสนุกกับการทดลองอะไรใหม่ๆ ผมไม่ได้จำกัดตัวเองว่าเป็นแค่งานวาดหรือว่าใช้สื่อแบบไหน แค่รู้สึกว่า ณ ตอนนั้นรู้สึกยังไง แล้วอยากทำงานหรือเทคนิคแบบไหนที่เราสนใจ เราก็อยากทำ ตัวอย่างเช่นก่อนหน้านี้ผมวาดคาแรคเตอร์คนเป็นส่วนใหญ่ แล้วรู้สึกเหนื่อยกับการวาดคนเยอะๆตอนไปออกบูธ เพราะมันเยอะมากครับ แต่ก็อยากให้คนมีส่วนร่วมกับเรา เลยดึงเอารูปทรงที่วาดประจำ มาแกะเป็นแม่พิมพ์ แล้วให้คนมาแสตมป์เอาเองว่าอยากได้สีอะไร จัดวางแบบไหน ทั้งที่ตัวเองไม่ได้มีความสามารถทางด้านการแกะยางลบเลย ไม่ได้มีความรู้ด้วยซ้ำ แต่เรารู้สึกว่าอยากทำงานออกมาในรูปแบบนี้ พอทำออกมาก็รู้สึกว่าสนุกดีจัง แล้วคนก็ชอบด้วย นี่ก็เป็นตัวอย่างนึงของการทดลองทำอะไรใหม่ๆ
เทคนิคที่ชอบที่สุด
จริงๆชอบทุกอัน เพราะว่าทุกเทคนิคที่เราทำเกิดจากความชอบ ความกล้าที่จะทดลอง แต่ถ้าถามว่ารู้สึกพิเศษกับเทคนิคไหน น่าจะเป็นงานที่เพิ่งแสดงจบไป เพราะมันเป็นวิธีคิดที่อยากรู้เหมือนกันว่าจะเป็นยังไง ชื่อโปรเจคว่า “10 นาที”
เล่าถึงโปรเจค “10 นาที”
เกิดจากการที่ผมอยากวาดรูปให้ได้ทุกวัน เพราะเราเป็นคนทำงานศิลปะ เป็นนักวาดภาพประกอบ เราก็ควรจะวาดรูปได้ทุกวัน แต่ประเด็นคือ เราจะวาดอะไร? อันนั้นเป็นสิ่งที่ยากที่สุด ผมก็เลยคิดมานานว่าจะวาดอะไรดี ที่จะสามารถวาดได้ทุกวัน คิดยังไงก็คิดไม่ออก จนเกิดไอเดียว่า วาดในสิ่งที่เราไม่รู้ก็ได้ ถ้าเราไม่รู้จะวาดอะไร เราก็วาดในสิ่งที่เราไม่รู้นั่นแหละ แล้วก็ตัดสินใจใช้เวลาสั้นๆในแต่ละวันเป็นตัวกำหนดให้มันต้องจบ แรกๆก็มีเละบ้าง พังบ้าง แต่มันก็จบแค่นั้น อย่างน้อยเราได้ทดลองว่ารูปทรงนี้ สีแบบนี้ ทำแบบนี้ มันจะดีหรือไม่ดียังไงบ้าง หรือมันจะเกิดภาพใหม่ ลายเส้นใหม่ โดยที่ภายใน 10 นาทีนั้นมันจะจบ ทำให้เราเหมือนเราปล่อยวางได้
ตลอดระยะเวลา 1 ปี พอทำมาแล้วมาเปิดดู ก็รู้สึกว่ามันเยอะมากเลย ลองเอามาแปะกำแพงดูรวมกันหลายๆภาพ มันทรงพลังมาก ผมเลยรู้สึกอยากนำมาส่งต่อให้คนอื่นได้ดู ประกอบกับได้มาเจอสถานที่ที่ Shaloba Boutique Coffee ในโรงแรม Erawan Bangkok เลยมีโอกาสได้ทดลองเอามาแสดงเป็น Mini Exhibition
ความพิเศษของโปรเจคนี้
ปกติตัวผมเองเป็นคนทำงานช้ามาก โปรเจคนี้เลยเหมือนเป็นการได้ฝึกตัวเองด้วย ได้วาดในสิ่งที่ตัวเองไม่รู้ด้วย มันก็เลยเหมือนเป็นทางออกที่ทำให้เราไม่ได้เครียดกับสิ่งที่ทำอยู่ เรายอมรับว่าบางทีก็ไม่รู้เหมือนกันว่าวาดอะไร สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นในการทำโปรเจคนี้คือ การได้เจอลายเส้นใหม่ๆ รูปทรง หรือสี หรือวิธีการใหม่ๆ เยอะมาก
โปรเจคนี้เป็นอิสระมากพอที่จะให้เราทำพลาดได้บ้าง หรือให้เรารู้สึกวาดงานไม่ออกได้บ้าง ทำงานเลอะได้บ้าง เป็นอะไรที่เหมือนฮีลตัวเองในการทำงาน มีบางงานผมชอบมากเลยที่มันพัง ครั้งหนึ่งผมวาดงานเสร็จแล้วมันยังไม่แห้ง เผลอเอามือไปปัด แล้วมันเลยเป็นรอยเลอะที่เราไม่ได้ตั้งใจ ตอนแรกผมก็เสียดาย เราวาดมา ชอบมาก นั่งคิดไปคิดมา ผมว่ามันสมบูรณ์ที่สุดตอนผมเอามือปัดให้มันเลอะนี่แหละ เหมือนทำให้ยอมรับในความผิดพลาดของมนุษย์ เราไม่ใช่หุ่นยนต์ที่จะเป๊ะตลอดเวลา ผมว่าสิ่งนี้ต่างหากที่เป็นเสน่ห์ของการทำงานจริงๆ
คิดว่าเอกลักษณ์ของ OLE คืออะไร
เราบอกไม่ได้หรอกว่าเรามีเอกลักษณ์ คือเอกลักษณ์ของเรามันไม่ได้แสดงออกมาทางภาพวาดหรือคาแรคเตอร์ขนาดนั้น แต่สำหรับผม เอกลักษณ์คือวิธีคิดที่มีความเป็นตัวตนของผมอยู่ในนั้น ซึ่งมันยากเหมือนกันนะที่จะให้คนเข้าใจว่าภาพนี้โอเล่เป็นคนทำ แต่เราก็รู้สึกสนุกกับมัน ถ้าคนจะจำงานผมไม่ได้เลยก็ไม่เป็นไร แต่ว่าคนเห็นงานนี้แล้วสนุก มันก็ดีแล้ว โอเคแล้ว
จริงๆแล้วผมไม่ได้พยายามบังคับตัวเองให้ตัวเองมีเอกลักษณ์ เทคนิคไม่จำกัด ไม่ได้มีสไตล์ที่ชัดเจน อย่างที่ผมยกตัวอย่างงาน stamp ก็แตกต่างจากงานวาดปกติ จนคนคิดว่าเราทำงานแบบนี้เป็นปกติ ซึ่งสิ่งสำคัญคือ การที่คนมาร่วมสนุกกับงานหรือวิธีการทำงานชิ้นนั้น ไม่ได้สร้างคาแรคเตอร์ให้คนอื่นหรือตัวเองจดจำ แต่ทำงานเพื่อตอบสนองโจทย์หรือแนวความคิดมากกว่า
แนวทางผลงานในอนาคต
จริงๆแล้ว เป็นงานที่พัฒนารูปทรงจากโปรเจค 10 นาทีนี่แหละครับ ช่วงหลังๆผมชอบงานรูปทรงเรขาคณิต ที่จะมีกลิ่นอายของงานฟรีฟอร์มแบบเดิม แต่ก็มีความเป็นรูปทรงเรขาคณิตมากขึ้น คืองานที่กำลังแสดงอยู่ในช่วงนี้ครับ เป็นนิทรรศการกลุ่ม ชื่อว่า “TAKE YOUR MARK” มีการใช้สี และรูปทรงมาเล่าเรื่องในงาน ผมพยายามทำงานให้ง่ายขึ้น แล้วก็ลดความเครียดในการทำงานลงด้วย แต่ก่อน วงกลมวงหนึ่งผมต้องคิดว่าจะวาดอะไร ต้องเล่าเรื่องอะไร ตอนนี้ได้ลดทอนรายละเอียดตรงนั้นลงมา หรือการผสมรูปทรงเรขาคณิตกับรูปทรงอิสระไว้ด้วยกัน มันจะทำให้ดูไม่แข็ง ไม่อิสระจนเกินไป มันเป็นเสน่ห์บางอย่างที่ผมพบเจอในโปรเจค 10 นาที
แต่ไม่ได้คิดว่าจะต้องเป็นแนวทางนี้ไปตลอด แค่ตอนนี้ผมชอบแบบนี้ รู้สึกแบบนี้ มันเป็นเหมือนการทำงานในช่วงเวลาๆหนึ่ง เหมือนการบันทึกความรู้สึกเราในช่วงนี้ วิธีคิดในช่วงเวลานี้เท่านั้นเอง
เล่าถึงวิธีคิดของงานที่อยู่ในเว็บไซต์ ADIS ART
ผมจะขอพูดถึง 3 ภาพที่เป็นเซ็ตเดียวกัน เป็นภาพที่ถูกจัดในนิทรรศการกลุ่ม “CHARACTER ≠ CHARACTER” มีศิลปินหลากหลาย และงานของผมจัดอยู่ในกลุ่ม Style character โดยให้ถ่ายทอดว่า Style ของผมมี Character เป็นยังไง ก็เลยคิดว่าช่วงก่อนหน้านั้น ผมจะวาดดอกไม้เป็นส่วนใหญ่ เลยคิดว่าจะถ่ายทอดด้วยดอกไม้นี่แหละ ส่วนแนวคิดคือการเล่าเรื่องชีวิตของเรา ตั้งแต่เด็ก ไปจนถึงในอนาคต เลยกลายมาเป็นภาพ 3 ภาพ ที่มีดอกไม้ในวัยเด็ก ดอกไม้วัยรุ่น และดอกไม้ในวัยชรา
1.ดอกไม้ที่เติบโตในกระถางเขาวงกต
ผมเริ่มคิดว่าตอนเด็กเราเป็นยังไง จะเป็นดอกไม้แบบไหน แล้วคิดได้ว่าตัวเองเป็นดอกไม้ที่เติบโตในกระถางที่มีพื้นที่จำกัด เนื่องจากผมเกิดที่ต่างจังหวัด การที่จะได้เบ่งบาน หรือการมีโอกาสในการทำงานศิลปะมันเป็นเรื่องยากมาก พื้นฐานครอบครัวก็มีชีวิตธรรมดา ไม่ได้มีใครเกี่ยวข้องกับด้านนี้ การจะศึกษาต่อหรือประกอบอาชีพด้านศิลปะเลยเป็นเรื่องที่ดูจะเข้าใจยาก ผมเลยรู้สึกว่าตัวเองเป็นดอกไม้ที่เติบโตในกระถางเล็กๆ แล้วก็ดันเป็นกระถางที่มีเขาวงกตอีก ที่ต้องหาทางเติบโต กว่าจะได้เจอความอิสระของตัวเอง
2.ดอกไม้ที่มองหาแสงสว่างในดวงตาของกันและกัน
ภาพนี้ผมนำเสนอเรื่องของความรัก เพราะว่ามันน่าจะเป็นประเด็นที่เอามาเล่าแล้วสนุก ผมวาดเป็นดอกไม้หลายๆดอก ดอกไม้ดอกอื่นอาจจะมองหาแสงสว่าง แต่จะมีดอกไม้แค่ 2 ดอกเท่านั้น ที่ก้านของมันวนกัน แล้วก็มาเจอกัน ได้มองตากัน เป็นการตีความว่า เวลาผมเจอคู่ชีวิตจริงๆแล้ว ผมไม่ได้มองหาสิ่งที่สว่างจ้า หรือสิ่งสำคัญอื่น ผมรู้สึกว่าการมีชีวิตคู่หรือความรักมันไม่ได้ต้องยิ่งใหญ่อะไร ความรักในวัยที่ผมเจอ ผมพบว่ามันเป็นสิ่งที่เล็กนิดเดียว ผมเลยเปรียบเทียบว่ามันคือแสงสว่างเล็กๆในดวงตาของดอกไม้ 2 ดอกนั้น ปกติดอกไม้ก็ต้องหันหน้าเข้าแสงสว่าง แต่ 2 ดอกนี้ เห็นประกายแสงในดวงตาของกันและกัน ความรักสำหรับผมมันแค่นั้นเอง แค่การมองเห็นแสงสว่างเล็กๆในดวงตาของอีกฝ่าย
3.ดอกไม้วัยชรา
ภาพนี้แทนช่วงอนาคตที่ผมยังไปไม่ถึง เลยจินตนาการไปว่า ตอนแก่เราก็คงเป็นดอกไม้ที่ก้านมัน ผ่านกาลเวลามาจนประกอบร่างแบบนี้ พันกันเป็นหัวกะโหลก ที่จะสื่อว่าอาจจะเป็นช่วงเวลาสุดท้ายที่ใกล้ถึงความตายแล้ว คงเป็นช่วงเวลาที่ได้มองดูตัวเอง มีท้องฟ้าในดวงตา ในวัยชราผมคงมองเห็นตัวเอง แต่ยังมีอิสระ มีความสดใสอยู่เสมอแม้ว่าตัวเองจะมีกลีบที่โรยแล้ว ผมคิดว่าตัวเองน่าจะเป็นอย่างนั้น
ฝากผลงาน
ขอฝากงานพิมพ์ที่ทำกับ Adis Art แล้วกันครับ เพราะผมรู้สึกว่ามันพิเศษกว่างานพิมพ์ชิ้นอื่นๆที่ผมมี ด้วยจำนวนที่จำกัด รวมไปถึงขั้นตอนการสแกน และขนาดของงานพิมพ์ที่ไม่เคยทำมาก่อน ไม่มีผลิตเพิ่มแล้ว เลยค่อนข้างแรร์พอสมควร ผมว่าเป็นชิ้นที่น่าสนใจสำหรับคนที่ต้องการสะสมครับ แล้วก็ขอฝากช่องทางติดตามผลงาน ทาง Facebook : OLE และ Instagram : ole.goods ครับ
สำหรับผู้ที่สนใจงานนิทรรศการ “TAKE YOUR MARK” จัดแสดงงานที่ผสมผสานระหว่างรูปทรงเรขาคณิตและรูปทรงอิสระ ที่ถูกพัฒนามาจากโปรเจค “10 นาที” ของคุณโอเล่
สามารถเข้าชมได้ที่ Xspace Gallery ในวันที่ 4 พฤษภาคม – 31 สิงหาคม 2567
รายละเอียดเพิ่มเติม : https://www.facebook.com/Xspaceartgallery/