“เมื่อศิลปะคือการตั้งคำถาม“
คุยกับล้วน – ไกร ศรีดี ศิลปินผู้เก็บเกี่ยว กลั่นกรองเรื่องราวรอบตัวจากวัยเด็ก ตั้งเป็นคำถามกับตัวเองและสังคมปัจจุบัน ถ่ายทอดผ่านผลงานศิลปะหลากหลายแขนง
แนะนำตัว
ล้วนคือคน Gen Z เกิดในกรุงเทพ จบการศึกษาจาก คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สนใจศิลปะตั้งแต่มอต้น เริ่มจากการวาดรูปเล่นไปเรื่อยๆ เลือกเรียนศิลป์ออกแบบในช่วงมอปลายที่วชิราวุธวิทยาลัย ที่โรงเรียนสอนทุกอย่างตั้งแต่วิชาเขียนแบบไปจนถึงเพ้นท์ติ้ง ด้วยความที่มีความสนใจด้านวิทยาศาสตร์อยู่แล้วตั้งแต่เด็ก เพราะวิทยาศาสตร์มีหลักการ แนวคิด การทดลอง การพิสูจน์ สอดคล้องกับศิลปะ “ตอนแรกผมอยากเป็น graphic designer อยากทำงานดีไซน์ แต่ดีไซน์เนอร์มีขอบเขตข้อจำกัดคือต้องดีไซน์เพื่อคนอื่น หรือรับบรีฟมาทำ เลยถามตัวเองว่านี่คือสิ่งที่ตัวเองต้องการจริงเหรอ ได้ตอบข้อคิดเห็นตัวเองไหม เลยได้เรียนที่วิจิตรศิลป์”
เล่าถึงชีวิตตอนเรียนหน่อยได้ไหม ?
เลือกเรียนเอก Painting เพราะมันมีวิธีคิด มีประวัติศาสตร์ที่เราอยากรู้ ช่วงปี 2 ขึ้นปี 3 ได้มีโอกาสไป work and travel ที่อเมริกาแล้วไปไล่ดูหอศิลป์ เจองานหลายแบบจนคิดว่าการฝึกวาดภาพเหมือนหรือการเพ้นท์ติ้ง ผลงานแบบไหนที่จะถูกพูดถึง และช่วงปี 3 จะมีวิชา individual painting สนุกมากเราทำอะไรก็ได้ เป็นช่วงหาแนวทางตัวเอง ได้กลับมาลองเพ้นท์หัวข้อที่ตัวเองชอบ ผ่านไปครึ่งเทอมได้งานมา 5-6 งาน แต่คิดว่าวิธีเพ้นท์ของเรามันตายตัวเป็นสูตรสำเร็จเหมือนกินมาม่า อยากลองทำอะไรที่ไม่เคยทำ เลยลองทำงาน installation,objects อาจารย์จะใช้คำว่า “เล่นแร่แปรธาตุ”
งานที่ชอบที่สุดตอนเรียน ?
งานที่ชอบตอนเรียนคือทำเป็น interactive art แล้วได้ความคิดเห็นแลกเปลี่ยนมาเยอะ มาถึงตอนนี้เดินทางมาไกล ทำให้เราได้รู้ตัวเองว่าเรากำลังสนุกกับมันเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์เป็นการทดลองกับคน และให้คำตอบผมได้กับทุกงานที่ผมทำ นอกจากให้คำตอบแล้วยังตั้งคำถามต่อได้อีก
ค้นหาตัวเองยังไง ?
วิธีการคือลองผมเป็นสาย experimental ข้อดีของการได้เรียนวิชา individual painting คือตอนตรวจงานเค้าไม่ได้บอกว่างานคุณสวยหรือมีคุณภาพแต่ว่างานคุณทำให้คุณได้อะไรบ้าง อันนี้เป็นตัวตัดเกรด สมมติว่าเรา painting รูปดอกไม้ 5 ชิ้น ชิ้นแรกอาจจะสวยแต่ชิ้นสุดท้ายอาจจะได้ F เพราะคุณไม่ได้อะไรเพิ่มเลย หยุดอยู่แค่เทคนิค หลักคิดของวิจิตรคือ พยายามหาว่าตัวเราเองต้องการอะไรจากมัน ไม่ได้ตอบอาจารย์แต่ต้องตอบตัวเอง ถ้าเกิดคิดว่าตอบอาจารย์ได้แต่ตอบตัวเองไม่ได้ก็อย่าทำ (หัวเราะ)
คิดว่าอะไรคือสไตล์งานของตัวเอง ?
สิ่งนี้คาบเกี่ยวกับชีวิต นิสัย ผมเป็นคนดื้อ เงียบ ปากจัด แต่ไม่ด่าด้วยคำหยาบ งานของผมค่อนข้าง irony จะล้อเลียนและตลกในตัวมันเอง แต่มันตลกแบบที่คุณจะขำไม่ออก คุณจะรู้ว่าคุยกับผมไม่ขำแต่จะจุก สอดคล้องกับนิสัยผมคือชอบทดลองอะไรใหม่ๆแล้วจะโละอันเก่าๆทิ้ง ทำให้ผมไม่ยึดติดกับข้อโต้เถียงต่างๆ เช่นเมื่อก่อนเคยคิดอย่างนี้แต่ตอนนี้คิดแบบนี้แล้ว ทำให้งานเรามีความไหลลื่นแล้วก็ตลกไปในตัวด้วย มีการล้อเลียน ความกวนตีน
เล่าถึงผลงานที่เป็นที่รู้จัก ‘ทิชชู่ ม.112’
idea มาจากงานเซ็ตนึง ชื่อว่า (S)wipe gently พิมพ์รูป interface facebook/instragram มาจากการที่เราเจอข่าวสาร การระบายอารมณ์ การด่าทอ ส่วนตัวไม่ชอบใช้ทิชชูเพราะมันเปลือง พอเป็นขยะแล้วมันน่าสกปรก แต่บางทีผมก็ต้องการมันเช่นเวลาจาม เลยคิดว่าหรือวิธีคิด facebook มันก็แบบนี้เหมือนกัน ต่อมาด้วยการที่เราดูข่าวการเมือง อยู่ดีๆก็มีการใช้ ม.112 จนเกลื่อน กฎหมายมันทำให้คนตายได้อย่างง่ายดาย เรามีข้อคิดเห็นเรื่องทิชชูแล้วเลยอยากเอามาใช้ “การใช้ ม.112 เปลืองขนาดนี้ ก็เหมือนการใช้ทิชชู” เลยหยิบมันมาเปลี่ยนจาก napkin เป็น toilet paper ซึ่งดูไร้ค่ากว่าและเป็นขยะมากกว่าเดิม ถ้าคุณใช้มันโดยไม่คิดสุดท้ายมันก็จะกลายเป็นขยะ เราทำงานร่วมกับ artn’t (กลุ่มศิลปินเกรียนที่ใช้งานศิลปะขับเคลื่อนการเมือง) ย้ำว่างานนี้ไม่ใช่งานของผมคนเดียวแต่เป็นของมวลชน ใครจะทำซ้ำทำ ใครจะเอาไปเช็ดอะไรก็ได้
Inspired มาจากการตั้งคำถาม ?
ผมว่าการตั้งคำถามบางทีเป็นคำตอบ คำตอบบางทีก็เป็นคำถาม การถามทำให้เราตอบตัวเองได้ว่าทำไมถึงเกิดคำถามแบบนี้ อาจเป็นเพราะตอนเด็กเราถูกจำกัดคำถาม มีคำตอบแบบไม่ make sense เมื่อก่อนเวลาเราอธิบายเรื่องอะไรให้ใครฟัง เราจะชอบคนฟังให้อยู่ใต้ปกครองเราตลอด พอตาสว่างแล้วรู้สึกละอายที่ตัวเองเคยอยู่ในระบบโซตัสเข้มข้นขนาดนั้นมาก่อน ข้อดีคือเมื่อไหร่ที่ผมรู้สึกว่ากำลังควบคุมใครหรือยกตัวเองเหนือใครผมจะรู้ตัวทันที ข้อเสียคือผมสร้างบาดแผลให้คนอื่นมาเยอะแยะ นิสัยการตั้งคำถามของผมไม่ได้ต้องการเอาชนะ แต่ถ้าถามแล้วตอบไม่ได้ คุณก็ต้องย้อนถามตัวเองกลับเหมือนกัน
ผลงานของตัวเองที่ชอบ ?
ผมสนุกกับ interactive art รู้สึกว่าเป็นงานที่เชื่อมต่อกับคน อึดอัดกับการไปหอศิลป์แล้วมีรั้วกันห้ามแตะผลงาน มันเข้าใจได้แต่ผมก็ยังตั้งคำถามว่าถ้าแตะได้จะดีกว่าไหม พอสนุกกับ interactive art เลยเชื่อมต่อกับ performance art มันคือการสมมติว่าเราไม่ใช่ล้วนแต่เป็นข้อคิดเห็นของล้วนที่ยืนอยู่ตรงนั้น เรากำลัง challenge ว่าจะเล่นแบบใหม่ได้ยังไง สนุกตรงที่ประวัติศาสตร์ performance art ไทยยังสั้นอยู่แค่ 30-40 ปี และความไร้กฏเกณฑ์นี้ ทำให้ผมเล่นอะไรก็ได้ ไม่มีผิดถูก
ความต่างระหว่างศิลปะไทย vs ต่างชาติ ในมุมมองของเรา?
ถ้าพูดถึงโลกตะวันตก เราเกิดมาคนละข้อมูลกัน ตัวศิลปะของเค้าขยับเปลี่ยนได้ตลอดเวลา ซึ่งมันเป็นเรื่องดีต่อการพัฒนา แต่มีข้อเสียตรงที่ไม่มี moral ที่แข็งแรงพอที่จะเล่นกับมัน กลับมาโลกตะวันออกถูกควบคุมด้วยวัฒนธรรม กับ moral อย่างแน่นหนา ข้อเสียของประเทศไทยคือไม่ขยับ moral สักที แต่ถ้าทำได้ขอให้มันขยับอย่างเชื่องช้า ค่อยๆตั้งคำถามกับมันไป โดยไม่สับสนวุ่นวายเกิดความโกลาหล จริงๆวัฒนธรรมไทยก็เป็นวัฒนธรรมประกอบสร้างจากหลายชาติ มีค่านิยมเดียว แต่ค่านิยมเอเชียมีหลากหลาย เรามีการแลกเปลี่ยน สื่อสาร เชื่อมต่อได้ดีกว่าตะวันตกที่ไปสุดทุกทาง ตัวศิลปะเองไม่ได้หลากหลายเท่าตะวันตกแต่มีวัฒนธรรมที่หลากหลายกว่าจะออกมาเป็นศิลปะได้ ต้องผ่านค่านิยม แต่ค่านิยมเราน้อยไม่กว้างเท่าอเมริกา
อยากให้ศิลปะในประเทศไทยไปในทิศทางไหน ?
อย่างแรกเลยคือหลุดจากกระทรวงวัฒนธรรม สำนักงานศิลปะวัฒนธรรมร่วมสมัยเลิกสร้างค่านิยมเดี่ยวได้แล้ว ปล่อยให้วัฒนธรรมมันทำงานเอง เคยฟัง lecture จากอาจารย์ท่านนึงบอกว่า “ตอนนี้วัฒนธรรมมันดูเหมือนเป็นเรื่องที่เค้ากำหนดให้เรา แต่จริงๆแล้ววัฒนธรรมเกิดจากชุมชนเองขึ้นไปข้างบน พื้นที่แห่งวัฒนธรรมจริงๆ มันต้องเกิดจากคนที่อยู่กับวัฒนธรรม ไม่ใช่ให้คนข้างบนมากำหนดว่าวัฒนธรรมที่นี่ควรจะเป็นยังไง” คุณต้องเลิกดูถูกว่า street art , graffiti เป็นเรื่องสกปรก หรือเลิกพูดว่า งานพุทธศิลป์นั้นดีที่สุด เลิกคิดว่าผลงานที่ศิลปินทำเรื่องความดี ความงาม ความจริง แพงเพียงอย่างเดียว หันกลับมาสนใจและเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่มีพื้นที่แสดงความคิดเห็น นอกจากความคิดเห็นแบบเดิมๆเพราะมันกำลังหลอกคุณว่า ทำอย่างนี้ถึงจะดี ถึงจะงาม ถึงจะจริง
มุมมองต่องาน Reproduction?
ตอนแรกผมคิดว่าการ reproduct งานมันคือการลดคุณค่าจากการจบคณะศิลปะมา แต่ผมมองว่าแล้วทำไมผลงานมันต้องมีชิ้นเดียว ทำไมผลงานที่จะออกสู่สังคมมันถึงกลายเป็น masterpiece ชิ้นเดียวที่คนต้องแห่มาดูเหมือนพระพุทธรูป พอมาคิดในแง่ของ reproduct ถ้าเราทำพระเครื่องกระจายไปในโลกเหล่านี้บ้าง ทำให้คนสามารถเข้าถึงได้มากขึ้น มันทำให้ผมเกิดคำถามว่าแล้วงานผมจริงๆคืออะไร ทำไมเราจะกระจายไปสู่คนชั้นกลางบ้างไม่ได้ มันเป็นการลดคุณค่าของตัวศิลปิน แต่เพิ่มคุณค่าของคนซื้อ
ผลงานเราจาก 3D back to 2D ?
มันคือ image แทนตัวงานผม ตัวมันจะกลายเป็น message สมมติเราปริ๊นท์รูปกล้องวงจรปิดมาไว้ในบ้าน เวลาคนเข้ามาบ้านจะตกใจกับมันหรือเปล่า เพราะ message ของมันคือการสอดส่อง แต่ function มันไม่ได้สอดส่อง ผมเลยคิดว่า วิธีการเดินของ installation art กลับไปเป็น 2D มันตัดให้เหลือแต่ message แล้ว function มันหาย มันก็จะเป็นงานที่พูดถึงได้ก้ำกึ่งระหว่างสองสิ่ง
ฝากผลงานปิดท้าย
สิ่งที่กำลังทำอยู่ตอนนี้ คือเรื่องของจริยธรรม moral ของประเทศไทย เหมือนการเมืองถูกดันเพดานขึ้นสูงขนาดนี้ moral ทั้งหลายถูกโละทิ้ง เช่นอย่างเรื่องง่ายๆ ผู้หญิงแต่งตัวยังไงก็ได้ ผู้ชายไม่มีสิทธิ์ข่มขืน และ 3 คำที่จะใช้ทำงานคือ ‘ขอบคุณ ขอโทษ สวัสดี’ ซึ่ง 3 อย่างนี้ เกี่ยวข้องกับการเมืองแน่นอนอยู่แล้ว ต่อไปงานผมจะกลายเป็น gadget เป็นผลงานที่คนซื้อได้ เข้าถึงได้ ใช้ในชีวิตประจำวันได้จริงๆ แล้วในขณะที่คุณใช้คุณจะรู้สึกได้ว่ามันมีอะไรนอกเหนือจากของใช้ธรรมดา